ในยุคปัจจุบันแพลตฟอร์มทางโซเชียลมีเดียหลาย ๆ แพลตฟอร์มยินยอมอนุญาตให้ผู้ใช้ ทำการเลื่อน หรือปัดผ่านโฆษณาที่เด้งขึ้นมาบนหน้าฟีดหลักของรูปภาพ วิดีโอ รวมทั้งในส่วนของ Stories และ Reels ได้
แต่ทว่าในตอนนี้ Instagram กำลังนำเอา “ช่วงพักโฆษณา (Ad break)” เข้ามาใช้ ซึ่งผู้ใช้หลายรายต่างบอกว่าไม่สามารถเลื่อนผ่านไปได้ตามปกติ รูปภาพ หรือสื่อโฆษณาที่ปรากฏจะมีตัวจับเวลา ซึ่งจะนับถอยหลังจนถึง 0 ก่อนที่ฟังก์ชันการทำงานปกติจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
“บางครั้งคุณอาจจะต้องดูโฆษณาก่อนถึงจะสามารถเรียกเลื่อนดูต่อได้” Instagram ได้บอกกับผู้ที่คลิกเข้าไปเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม โดยทาง Instagram ได้ยืนยันกับทาง BBC ว่า ฟีเจอร์นี้กำลังทดลองใช้งานอยู่จริง ๆ
“เรากำลังทดสอบรูปแบบการวางโฆษณาที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ลงโฆษณาอยู่เสมอ” กล่าวในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่า จะมีการอัปเดตเพิ่มเติมหากการทดสอบส่งผลให้เปลี่ยนรูปแบบการโฆษณาไปเลยอย่างถาวร และในแถลงการณ์ฉบับต่อมา Meta ได้ชี้แจงว่า ได้ทดลองผลิตภัณฑ์และโซลูชันโฆษณาใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของผู้บริโภคและความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
คงต้องรอดูกันต่อไปว่าการทดลองใช้ครั้งนี้จะทำให้ผู้ที่เอาโฆษณามาลงนั้นพอใจหรือไม่ แต่อย่างไรก็คงไม่เป็นผลดีต่อผู้ใช้แน่นอน มีผู้ใช้ Threads รายหนึ่งเรียกการเคลื่อนไหวของ Instagram นี้ว่า “bonkers” (เป็นสแลงแปลว่างี่เง่า) โดยเสริมว่า “ดูเหมือนจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเร่งเร้าแข็งขัน เพื่อที่ Meta จะหารายได้จากการวางโฆษณามากยิ่งขึ้น” รวมทั้งยังมีกระแสคว่ำบาตรจากผู้ใช้รายอื่น ๆ
Meta ไม่ใช่บริษัทแรกที่บังคับให้ผู้ใช้รับชมโฆษณา Youtube เป็นแพลตฟอร์มที่เรียกได้ว่าขึ้นชื่อในด้านการนำเอาโฆษณาที่ข้ามไม่ได้มาใช้เลยทีเดียว หรือแอปทีวีต่าง ๆ ที่ไม่ต้องจ่ายค่าบริการ
ผู้ลงโฆษณาสามารถที่จะกำหนดเป้าหมายผู้ดู Youtube ด้วยวิดีโอโปรโมตความยาว 15 ถึง 30 วินาทีซึ่งปรากฏทั้งก่อนเล่น ระหว่างเล่น หรือหลังวิดีโอจบ และถ้าอยากให้ผู้คนดูสื่อโฆษณาทั้งหมดของตน ก็ยังสามารถทุ่มเงินทำโฆษณาที่กดข้ามไม่ได้เป็นวิดีโอสั้น ๆ 6 วินาที ผู้ใช้บางรายหันมาพึ่งเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยบล็อคโฆษณาไว้ อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ชัดเจนว่าการบังคับให้ผู้ชม ชมโฆษณาแบบข้ามไม่ได้มากขึ้นจะส่งผลดีต่อบริษัทต่าง ๆ อย่างแท้จริง
ดังนั้นการทดลองนำเอาโฆษณาที่ไม่สามารถข้ามได้มาลงในแพลตฟอร์ม Instagram ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกนั้นจะมีทิศทางไปแบบใด จะสามารถเปลี่ยนให้เป็นการนำมาใช้แบบถาวรได้ไหม ? ต้องรอติดตามกันต่อไปนั่นเอง
ที่มา : www.bbc.com